Saturday, March 2, 2019

อนุทินที่ 3


แบบฝึกหัดทบทวนบทที่ 2 

กฎหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของชาติ


1. ใครเป็นผู้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรก และมีเหตุผลอย่างไร และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา เป็นอย่างไร อธิบาย
          ตอบ คณะราษฎร์เป็นผู้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรก โดยให้เหตุผลว่าตอนนี้การศึกษามีการพัฒนาขึ้นและประชาชนมีความรู้มากขึ้น ดังนั้นอยากให้เหล่าข้าราชการและประชาชนมีสิทธิมีเสียงในการออกความเห็นชอบในกฎหมายและพัฒนาประเทศ ซึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับแรกนั้น มีประเด็นเกี่ยวกับการศึกษา ได้แก่บุคคลสามารถจัดทรัพย์สิน พูด เขียน โฆษณา ศึกษา อบรมและประชุมได้อย่างเปิดเผย
2. แนวนโยบายแห่งรัฐในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ของรัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2492 ได้กำหนดอย่างไร อธิบาย 
          ตอบ แนวนโยบายแห่งรัฐ ของรัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2492  ที่เกี่ยวกับการศึกษาได้กำหนดไว้ คือ หมวดที่ 4 หน้าที่ของชนชาวไทย ความว่า การศึกษามีจุดประสงค์ให้ประชาชนเป็นพลเมืองที่ดี ร่างกายแข็งแรง มีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพและ มีจิตใจเป็นนักประชาธิปไตย รัฐเป็นผู้ควบคุมดูแลสถานศึกษา โดยชั้นประถมศึกษารัฐจะไม่เก็บค่าเล่าเรียน ช่วยเหลืออุปกรณ์การศึกษา และสนับสนุนการค้นคว้าในทางศิลปะและวิทยาศาสตร์ แต่ในระดับอุดมศึกษานั้นให้สถานศึกษาเป็นฝ่ายจัดการเองภายในขอบเขตของกฎหมาย
3. เปรียบเทียบแนวนโยบายแห่งรัฐประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของรัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช2511 พุทธศักราช 2517 และ พุทธศักราช 2521 เหมือนหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย
          ตอบ แนวนโยบายแห่งรัฐประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของรัฐธรรมนูญฯในทั้ง 3 ฉบับมีความคล้ายกันแต่มีการเพิ่มประเด็นต่าง ๆ เข้ามาอย่างละนิด โดยแนวนโยบายแห่งรัฐประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของรัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2511 รัฐเป็นผู้ควบคุมดูแลสถานศึกษา โดยชั้นประถมศึกษาจะไม่เก็บค่าเล่าเรียน ช่วยเหลืออุปกรณ์การศึกษาตามสมควร และสนับสนุนการค้นคว้าในทางศิลปะและวิทยาศาสตร์ แต่ในระดับอุดมศึกษานั้นให้สถานศึกษาเป็นฝ่ายจัดการเองภายในขอบเขตของกฎหมาย เมื่อรัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2517 ประกาศใช้จะมีความคล้ายกับ รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2511 โดยรัฐและท้องถิ่นยังเป็นดูแลสถานศึกษา แต่เพิ่มจากชั้นประถมเป็นการศึกษาภาคบังคับ เพิ่มการให้ทุนช่วยเหลือแก่ผู้ยากไร้ และสนับสนุนการวิจัยเกี่ยวกับศิลปะวิทยาการ สถิติ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเพื่อนำไปพัฒนาประเทศ รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2521 ประกาศใช้จะมีความคล้ายกับ รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2517 โดยเพิ่มประเด็นการส่งเสริมให้เยาวชนเป็นผู้มีความสมบูรณ์ทั้งกาย จิตใจและ สติปัญญา  
4. ประเด็นที่ 1 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2475-2490   ประเด็นที่ 2  รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 25492-2517  ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร  อธิบาย
         ตอบ ในรัฐธรรมนูญฯทั้งสองประเด็นนั้นมีความแตกต่างกัน โดยประเด็นที่ 1 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2475-2490 กล่าวถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาไม่มาก คือ การกำหนดสิทธิเสรีภาพในการพูด เขียน ศึกษา ประชุม ตั้งสมาคม การอาชีพ ได้อย่างเปิดเผย แต่ในประเด็นที่ 2 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 25492-2517 ได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษามากยิ่งขึ้น ทั้งสิทธิ เสรีภาพทางการศึกษาที่ไม่ขัดต่อกฎหมายและหน้าที่พลเมือง การดูแลสถานศึกษาของรัฐและท้องถิ่นในการศึกษาภาคบังคับ การที่สถานศึกษาจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาเอง การช่วยเหลือทุนการศึกษาแก้ผู้ยากไร้ และการสนับสนุนศิลปะวิทยาการ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เพื่อพัฒนาประเทศ
5. ประเด็นที่ 3 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2521-2534 ประเด็นที่ 4 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2540-2550 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย
         ตอบ ในรัฐธรรมนูญฯทั้งสองประเด็นนั้นมีความแตกต่างกัน โดยประเด็นที่ 3 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2521-2534 ให้ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพในการศึกษาภาคบังคับเสมอกัน โดยไม่ขัดต่อกฎหมายการศึกษา รัฐบำรุงระบบการศึกษาและควบคุมสถานศึกษา ส่วนระดับอุดมให้ดำเนินกิจการของตนเอง ซึ่งการศึกษาภาคบังคับของรัฐและส่วนของท้องถิ่นไม่มีค่าเล่าเรียน รัฐช่วยเหลือทุนการศึกษาแก่ผู้ยากไร้ สนับสนุนการวิจัยในศิลปะวิทยาการ การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และส่งเสริมให้เยาวชนสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา คุณธรรม และจริยธรรม เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และเพื่อความมั่นคงของประเทศ แต่ประเด็นที่ 4 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2540-2550 ได้ให้สิทธิและเสรีภาพแก่บุคคลเสมอกันทั้งชายหญิง ผู้ยากไร้ คนพิการ ในการศึกษาขั้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี โดยต้องทั่วถึง มีคุณภาพ และไม่เก็บค่าใช้จ่าย เพื่อพัฒนาความเป็นปึกแผ่น ความเข้มแข็งของชุมชน และส่งเสริมให้เยาวชนมีความรู้รักสามัคคีและการเรียนรู้ ปลูกจิตสำนึกในศิลปวัฒนธรรมประเพณีของชาติและของท้องถิ่น รัฐสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาโดยให้มีกฎหมายการศึกษาแห่งชาติ และกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและองค์กรต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาเพื่อเพิ่มมาตรฐานคุณภาพการศึกษาให้เท่าเทียม          
6. เหตุใดรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะต้องระบุในประเด็นที่รัฐจะต้องจัดการศึกษาอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง อธิบาย
         ตอบ เพื่อให้สถานศึกษาได้ให้สิทธิ เสรี แก่ประชาชนทั่วไปได้รับศึกษาทุกคน และไม่มองข้ามประชาชนที่เป็นผู้ยากไร้ เป็นผู้พิการ และทุพพลภาพหรือผู้ด้อยโอกาส ให้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกับประชาชนทั่วไป เพื่อสามารถเติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งพาได้ 
 
7. เหตุใดรัฐจึงต้องกำหนด “บุคคลมีหน้าที่รับการศึกษาอบรมตามเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ” จงอธิบาย หากไม่ปฏิบัติจะเกิดอะไรขึ้น
         ตอบ เพราะประชาชนจะได้ปฏิบัติเหมือนกัน และเยาวชนจะได้รับสิทธิในการศึกษาอย่างเหมาะสมและเท่าเทียมกัน โดยพ่อแม่หรือผู้ปกครองนำบุตรหลานเข้ารับการศึกษาตามอายุและระดับชั้นที่กำหนด ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามจะถูกต้องโทษปรับ
8. การจัดการศึกษาที่เปิดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาหาก เราพิจารณารัฐธรรมนูญมีฉบับใดบ้างที่ให้องค์กรส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วม  และถ้าเปิดโอกาสให้ ท้องถิ่นมีส่วนร่วมมากขึ้นท่านคิดว่าเป็นอย่างไร จงอธิบาย   
         ตอบ รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2550 ได้เปิดโอกาสให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ซึ่งคิดว่าจะช่วยให้การศึกษามีมาตรฐานคุณภาพการศึกษาที่เท่าเทียม และประชาชนได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงทั่วภูมิภาค ทั้งในเมืองและที่กันดาร
9. เหตุใดการจัดการศึกษารัฐต้องคุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชนส่งเสริมความเสมอภาคทั้งหญิงและชาย พัฒนาความเป็นปึกแผ่นของครอบครัว และความเข็มแข็งของชุมชน สังเคราะห์ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพและผู้ด้อยโอกาส จงอธิบาย 
         ตอบ เพราะสังคมในปัจจุบันให้การเสมอภาคระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย ในการศึกษาก็เช่นกัน รัฐจะให้ความสำคัญต่อสถาบันครอบครัวและชุมชน ซึ่งเป็นสถาบันเล็ก ๆ ที่ใกล้ชิดและสามารถปูพื้นฐานเบื้องต้น และสร้างเจตนารมณ์ให้แก่เด็กเกี่ยวกับการศึกษาได้ นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพและผู้ด้อยโอกาส ได้รับการศึกษา เพื่อให้พวกเขาได้เกิดความรู้สึกถึงการได้รับความสำคัญ มีโอกาสที่จะพัฒนาความสามารถของตัวเองให้สังคมยอมรับ เพื่อเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป
10. ผลการจัดการศึกษาที่ผ่านมาของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มีผลต่อการพัฒนาประเทศ อย่างไรบ้าง จงอธิบาย
         ตอบ การจัดการศึกษาที่ผ่านมาของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มีผลต่อการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของชาติ เพราะหากเยาวชนได้รับการศึกษาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดแล้ว ไม่ว่าจะชาย หญิง คนพิการ คนด้อยโอกาสหรือผู้ยากไร้ก็จะได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม ทำให้บุคคลเหล่านั้นมีความรู้และสามารถนำไปประกอบอาชีพและมีรายได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจเกิดการพัฒนา เมื่อได้รับการศึกษา เยาวชนจะได้รับการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม เพื่อการดำรงอยู่ในสังคมอย่างสงบสุข เยาวชนจะได้รู้จัก ความสามัคคี ความเป็นปึกแผ่น การเคารพกฎหมาย ทำให้เป็นพลเมืองที่ดี มีความมั่นคงของชาติ ซึ่งจากที่กล่าวมาหากเศรษฐกิจดี สังคมดี ก็จะส่งผลให้การพัฒนาประเทศเป็นไปในทางที่ดี

Friday, February 22, 2019

อนุทินที่ 2


แบบฝึกหัดทบทวนบทที่ 1

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมาย

คำสั่ง: จงตอบคำถามต่อไปนี้

1.ท่านคิดว่าทำไมมนุษย์เราถึงต้องมีกฎหมายหากไม่มีจะเป็นอย่างไร

ตอบ มนุษย์ต้องมีกฎหมาย เพราะเมื่ออยู่ร่วมกันเป็นสังคมแล้วอาจเกิดความแก่งแย่ง ไม่พอใจซึ่งกันและกัน ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งและการทะเลาะวิวาทได้ จึงต้องสร้างกฎหมายเพื่อควบคุมพฤติกรรม และรักความสงบเรียบร้อยในสังคม หากมนุษย์เราไม่มีกฎหมายอาจส่งผลให้สังคมเกิดความกลหน ไม่เรียบร้อย เกิดการขัดแย้ง ทะเลาะกันจนใช้กำลังทำร้ายซึ่งกันและกันจนไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

2. ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมายและจะเป็นอย่างไร

ตอบ สังคมจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากไม่มีกฎหมาย เนื่องจากเมื่อไม่มีข้อบังคับหรือข้อปฏิบัติที่ใช้ควบคุมพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของพลเมืองในสังคม ผู้คนที่อยู่ในสังคมนั้นจะไม่เกรงกลัวต่อการกระทำผิด ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ทำให้สังคมเกิดความกลหน เช่น ความขัดแย้ง การใช้ความรุนแรง อันส่งผลให้สังคมไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย

3.ท่านมีความรู้ความเข้าเกี่ยวกับกฎหมายในประเด็นต่อไปนี้

ก. ความหมาย            
ตอบ กฎหมาย หมายถึง คำสั่งหรือข้อบัญญัติอันมาจากรัฎฐาธิปัตย์หรือผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศนั้นบัญญัติขึ้นมา เพื่อประกาศใช้บังคับให้พลเมืองของประเทศนั้นทุกคน ซึ่งไม่จำกัดเพศ อายุ ชั้น วรรณะ สัญชาติปฏิบัติตามจนกว่ากฎหมายเหล่านั้นจะถูกประกาศยกเลิก และหากฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ   

ข. ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย
ตอบ องค์ประกอบของกฎหมายประกอบด้วย ประการ ได้แก่
          1. เป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาธิปไตย์หรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุด เช่น รัฐสภาฝ่ายนิติบัญญัติ หัวหน้าคณะปฏิวัติ กษัตริย์ สามารถใช้อำนาจบัญญัติกฎหมายได้
          2. มีลักษณะเป็นข้อบังคับ ไม่ใช่คำวิงวอน ประกาศ หรือแถลงการณ์
          3. ใช้บังคับกับทุกคนในรัฐอย่างเสมอภาค เพื่อให้ทุกคนเกรงกลัวและถือปฏิบัติสังคมจะสงบสุขได้
          4. มีสภาพบังคับ ซึ่งบุคคลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย หากฝ่าฝืนอาจจะถูกลงโทษในทางอาญา เช่น รอลงอาญา ปรับ จำคุก กักขัง ริบทรัพย์ หรือลงโทษในทางเพ่ง เช่น ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ที่มาของกฎหมาย            
ตอบ  1. บทบัญญัติแห่งกฎหมายเป็นกฎหมายลักษณ์อักษรเช่นกฎหมายประมวลรัษฎากรรัฐธรรมนูญพระราชบัญญัติพระราชกำหนดพระราชกฤษฎีกากฎกระทรวงเทศบัญญัติซึงกฎหมายดังกล่าวผู้มีอำนาจแห่งรัฐหรือผู้ปกครองประเทศเป็นผู้ออกกฎหมาย
        2. จารีตประเพณีเป็นแบบอย่างที่ประชาชนนิยมปฏิบัติตามกันมานานหากนำไปบัญญัติเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรแล้วย่อมมีสภาพไปเป็นกฎหมาย
        3. ศาสนาเป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติที่ดีของทุกๆศาสนาสอนให้เป็นคนดีเช่นห้ามลักทรัพย์ห้ามผิดลูกเมียห้ามทำร้าย
ผู้อื่นกฎหมายจึงได้บัญญัติตามหลักศาสนาและมีการลงโทษ

        4. คำพิพากษาของศาลหรือหลักบรรทัดฐานของคำพิพากษาซึ่งคำพิพากษาของศาลชั้นสูงเป็นแนวทางที่ศาลชั้นต้นต้องนำไปถือปฏิบัติในการ ตัดสินคดีหลังๆซึ่งแนวทางเป็นเหตุผลแห่งความคิดของตนว่าทาไมจึงตัดสินคดีเช่นนี้อาจนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายในแนวความคิดนี้ได้จะต้องตรงตามหลักความจริงมากที่สุด
        5. ความเห็นของนักนิติศาสตร์เป็นการแสดงความคิดเห็นของว่าสมควรที่จะออกกฎหมายอย่างนั้นสมควรหรือไม่ จึงทำให้นักนิติศาสตร์อาจจะเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในกฎหมายได้แสดงความคิดเห็นว่ากฎหมายฉบับนั้นได้

ง. ประเภทของกฎหมาย
ตอบ ในประเทศไทยจะแบ่งประเภทของกฎหมายเป็น 2กลุ่มใหญ่ ได้แก่
1. กฎหมายภายใน ซึ่งแบ่งออกเป็น ประเภทย่อย ดังต่อไปนี้
          1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
                   1.1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นกฎหมายที่ผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมาย ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เช่น รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประมวลกฎหมาย เป็นต้น
                   1.1.2 ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นกฎหมายที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ เช่น จารีต ประเพณี หลักกฎหมายทั่วไป
          1.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา และกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางเพ่ง
                   1.2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา มีบทลงโทษ ได้แก่ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ หรือริบทรัพย์สิน
                   1.2.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางเพ่ง ลงโทษโดยกำหนดให้เป็นโมฆะกรรมหรือโมฆียกรรม หรือกฎหมายบังคับให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความเป็นธรรม
          1.3 กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสบัญญัติ
                   1.3.1 กฎหมายสารบัญญัติ เป็นกฎหมายที่กำหนดองค์ประกอบความผิดและกำหนดความร้ายแรงของโทษ
                   1.3.2 กฎหมายวิธีสบัญญัติ เป็นวิธีการและขั้นตอนที่ใช้บังคับดำเนินคดีทั้งคดีอาญาและคดีเพ่ง
          1.4 กฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชน
                   1.4.1 กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ ผู้มีอำนาจบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตาม เช่น รัฐธรมนูญใช้กำหนดอำนาจอธิปไตย สิทธิและหน้าที่ของประชาชน
                   1.4.2 กฎหมายเอกชน เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกัน เช่น กฎหมายเพ่งและพาณิชย์ เปิดโอกาสให้ประชาชนสร้างความสัมพันธ์เชิงกฎหมายระหว่างกัน
2. กฎหมายภายนอก
          2.1 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง เป็นกฎหมายว่าด้วยสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ
          2.2 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล เป็นกฎหมายว่าด้วยสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในรัฐต่างรัฐ
          2.3 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เป็นข้อบังคับที่ประเทศหนึ่งหรือรัฐหนึ่งตกลงยอมรับให้ศาลอีกรัฐหนึ่งมีอำนาจในการพิจารณาลงโทษอาญาแก่คนที่ทำผิดนอกประเทศ


4. ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ว่า ทำไมทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมาย จงอธิบาย

ตอบ มีความคิดเห็นที่ว่า ในทุก ๆ ประเทศจะต้องมีกฎหมายนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ถูก เพราะการอยู่ร่วมกันในสังคมมนุษย์ทุกคนต่างมีมีความคิดที่แตกต่างกันอยู่แล้ว ซึ่งจะนำไปสู่การขัดแย้ง ทะเลาะวิวาทได้ถ้าหากไม่มีกฎหมายมาควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมนั้น ๆ

5.  สภาพบังคับในทางกฎหมายท่านมีความเข้าใจอย่างไร จงอธิบาย

ตอบ กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดความประพฤติของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์จำต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์  จึงจำเป็นต้องมีสภาพบังคับในกรณีที่มีการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์กฎหมายใดไม่มีสภาพบังคับ ไม่เรียกว่าเป็นกฎหมาย สภาพบังคับ (SANCTION) ของกฎหมายคือโทษต่างๆในกฎหมาย ถ้าเป็นสภาพบังคับอาญา ได้แก่ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ ริบทรัพย์สิน

6. สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่ง มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร


ตอบ สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่งมีความแตกต่างกัน เนื่องจากสภาพบังคับกฎหมายในอาญาใช้สำหรับผู้ที่กระทำผิดที่มีลักษณะมุ่งร้ายต่อชีวิตและทรัพย์สิน เป็นอาชญากรรม เช่น ชิงทรัพย์ ข่มขืน ฆ่า ค้ายาเสพติด ซึ่งบุคคลคนนั้นจะได้รับโทษทางอาญา ได้แก่ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ หรือริบทรัพย์สิน ส่วนสภาพบังคับทางเพ่ง ใช้สำหรับผู้กระทำผิดที่มุ่งหวังทรัพย์สิน หรือศักดิ์ศรีของผู้อื่น คือลงโทษโดยกำหนดให้เป็นโมฆะกรรมหรือโมฆียกรรม

7. ระบบกฎหมายเป็นอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ  แบ่งเป็น ระบบดังนี้
         1. ระบบซีวิลลอร์ (CIVIL LAW SYSTEM) หรือระบบลายลักษณ์อักษรเป็นระบบเอามาจาก “JUS CIVILE” ใช้แยกความหมาย “JUS GENTIUM” ของโรมันซึ่งมีลักษณะพิเศษกล่าวคือเป็นกฎหมายลาย ลักษณ์อักษรที่มีความสำคัญกว่าอย่างอื่นคำพิพากษาของศาลไม่ใช่ที่มาของกฎหมายแต่เป็น บรรทัดฐานแบบอย่างของการตีความกฎหมายเท่านั้นเริ่มต้นจากตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญจะ ถือเอาคำพิพากษาศาลหรือความคิดเห็นของนักกฎหมายเป็นหลักไม่ได้
        2. ระบบคอมมอนลอว์ (COMMON LAW SYSTEM) ซึ่งจะต้องกล่าวถึงคำว่า เอคควิตี้ (EQUITY) เป็นกระบวนการเข้าไปเสริมแต่งให้คอมมอนลอว์เป็นการพัฒนามาจากกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรนำเอาจารีตประเพณีและคำพิพากษาซึ่งเป็นบรรทัดฐานของศาลสมัยเก่ามาใช้จนกระทั่งเป็นระบบกฎหมายที่มีความสมบูรณ์ในตัวเองการวินิจฉัยต้องอาศัยคณะลูกขุนเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด


8. ประเภทของกฎหมายมีหลักการแบ่งอย่างไรบ้าง มีกี่ประเภท แต่ละประเภทประกอบด้วย
ะไรบ้าง ยกตัวอย่างอธิบาย

ตอบ   เนื่องจากนักวิชาการได้แบ่งประเภทของกฎหมายไว้หลากหลาย ซึ่งการแบ่งแต่ละประเภทจะขึ้นอยู่กับว่าจะใช้อะไรเป็นหลักในการแบ่งประเภท ได้แก่ การแบ่งโดยแหล่งกำเนิด ประกอบไปด้วย กฎหมายภายในและกฎหมายภายนอก ซึ่งสามารถแบ่งย่อยออกไปได้อีก ได้แก่
1. กฎหมายภายใน ซึ่งแบ่งออกเป็น ประเภทย่อย ดังต่อไปนี้
          1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
                   1.1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นกฎหมายที่ผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมาย ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เช่น รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ ประมวลกฎหมาย เป็นต้น
                   1.1.2 ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นกฎหมายที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ เช่น จารีต ประเพณี หลักกฎหมายทั่วไป
          1.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา และกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางเพ่ง
                   1.2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา มีบทลงโทษ ได้แก่ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ หรือริบทรัพย์สิน
                   1.2.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางเพ่ง ลงโทษโดยกำหนดให้เป็นโมฆะกรรมหรือโมฆียกรรม หรือกฎหมายบังคับให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความเป็นธรรม
          1.3 กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสบัญญัติ
                   1.3.1 กฎหมายสารบัญญัติ เป็นกฎหมายที่กำหนดองค์ประกอบความผิดและกำหนดความร้ายแรงของโทษ เช่นตัวบทกฎหมายในประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายเพ่งและพาณิชย์เกือบทุกมาตรา
                   1.3.2 กฎหมายวิธีสบัญญัติ เป็นวิธีการและขั้นตอนที่ใช้บังคับดำเนินคดีทั้งคดีอาญาและคดีเพ่ง เช่น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งกำหนดอำนาจหน้าที่ตั้งแต่เจ้าพนักงานของรัฐในการดำเนินคดีทางอาญา จนถึงการพิจารณาคดีในศาล
          1.4 กฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชน
                   1.4.1 กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ ผู้มีอำนาจบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตาม เช่น รัฐธรมนูญใช้กำหนดอำนาจอธิปไตย สิทธิและหน้าที่ของประชาชน
                   1.4.2 กฎหมายเอกชน เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกัน เช่น กฎหมายเพ่งและพาณิชย์ เปิดโอกาสให้ประชาชนสร้างความสัมพันธ์เชิงกฎหมายระหว่างกัน
2. กฎหมายภายนอก
          2.1 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง เป็นกฎหมายว่าด้วยสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ สนธิสัญญา
          2.2 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล เป็นกฎหมายว่าด้วยสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในรัฐต่างรัฐ เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดแย้งแห่งกฎหมาย
          2.3 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เป็นข้อบังคับที่ประเทศหนึ่งหรือรัฐหนึ่งตกลงยอมรับให้ศาลอีกรัฐหนึ่งมีอำนาจในการพิจารณาลงโทษอาญาแก่คนที่ทำผิดนอกประเทศ
 9. ท่านเข้าใจถึงคำว่าศักดิ์ของกฎหมายคืออะไร มีการแบ่งอย่างไร

ตอบ ศักดิ์ของกฎหมาย หมายถึง การจัดลำดับค่าบังคับของกฎหมาย หรืออำนาจของผู้ออกกฎหมาย ซึ่งอาศัยว่าองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจในการออกกฎหมายสำคัญ เป็นการกำหนดหลักการและนโยบายเท่านั้น รัฐสภาจะออกกฎหมายทันต่อความต้องการของสังคม และฝ่ายบริหารหรือองค์กรอื่นจะออกกฎหมายในอยู่ภายใต้กรอบของหลัก กฎหมายใดที่อยู่ขั้นต่ำกว่าจะขัดแย้งกับกฎหมายที่มีศักดิ์ไม่ได้ ซึ่งประเทศไทยได้จัดลำดับความสำคัญของศักดิ์ของกฎหมายได้ดังนี้
          1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นกฎหมายแม่บทที่ใช้ยึดหลักในการปกครองและบริหารประเทศ
          2. พระราชบัญญัติและประมวลกฎหมาย เป็นกฎหมายที่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติโดยเห็นชอบจากรัฐสภา ที่เป็นตัวแทนของประชาชน และพระมหากษัตริย์ได้ลงพระปรมาภิไธยใช้บังคับกฎหมาย
          3. พระราชกำหนด เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีเฉพาะในกรณีที่มีเหตุเร่งด่วนหรือฉุกเฉิน ซึ่งเมื่อตราแล้วขึ้นนำเสนอต่อรัฐสภาภายในระยะเวลาอันสั้น (2-3 วัน) หากอนุมัติก็กลายสภาพเป็นกฎหมายเหมือนพระราชบัญญัติ
          4. ประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติ มีลักษณะคล้ายกับพระราชกำหนด ใช้ในยามที่มีสถานะสงครามหรือในภาวะคับขัน
          5. พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่กษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมาย ใช้ประกาศพระบรมราชโองการ มีศักดิ์ต่ำกว่าพระราชบัญญัติ และขัดกับกฎหมายที่ศักดิ์สูงกว่าไม่ได้
          6. กฎกระทรวง เป็นกฎหมายที่รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนดเป็นผู้ออก โดยออกตามกฎหมายแม่บท มีความสำคัญรองลงมาจากพระราชกฤษฎีกา
          7 ข้อบัญญัติจังหวัด เป็นกฎหมายที่ออกตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้อำนาจองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่มีอำนาจปกครองดูแล ใช้บังคับเฉพาะพื้นที่ในจังหวัดนั้น เพื่อจัดเรียงสังคมดูแลทุกข์สุขประชาชน
          8 เทศบัญญัติ เป็นกฎหมายที่ออกตามพระราชบัญญัติเทศบาล โดยมีการแบ่งองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเป็น 3 ระดับ คือ เทศบาลตำบล เทศบาลเมืองและเทศบาลนคร

10. เหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 มีเหตุการณ์ชุมนุมของประชาชนณลานพระบรมรูปทรงม้าและประชาชนได้ประกาศว่าจะมีการประชุมอย่างสงบแต่ปรากฏว่ารัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุมและขัดขว้างไม่ให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบลงมือทำร้ายร่างกายประชาชนในฐานะท่านเรียนวิชานี้ท่านจะอธิบายบอกเหตุผลว่ารัฐบาลกระทำผิดหรือถูก

ตอบ จากเหตุการณ์นี้รัฐบาลกระทำผิด เนื่องจากได้ทำร้ายร่างกายประชาชนจนได้รับบาดเจ็บ จากเหตุการณ์อาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประชนและรัฐบาลได้ แต่ประชนก็มีส่วนผิดที่ไม่ปฏิบัติตามที่รัฐบาลได้ประกาศว่าเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุมทำให้เกิดความวุ่นวาย

11. ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ คำว่า กฎหมายการศึกษาอย่างไร จงอธิบาย

ตอบ กฎหมายการศึกษา หมายถึงข้อบังคับจากคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐ บังคับใช้กับทุกคนในประเทศนั้นๆ มีการกำหนดบทลงโทษหากฝ่าฝืน เป็นกฎที่เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการองค์กร บริหารงานบุคคล และบริหารทรัพยากร

12.ในฐานะที่นักศึกษาจะต้องเรียนวิชานี้ ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษาท่านคิดว่า เมื่อท่านไปประกอบอาชีพครู จะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไรบ้าง

ตอบ กฎหมายทางการศึกษา เป็นหัวใจสำคัญในการศึกษา ที่จะทำให้คนมาเป็นครูได้นั้นจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ กฎหมาย ว่ามีอะไรบ้าง มีข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติอย่างไรทำให้เราได้เข้าใจและนำไปให้ทางการศึกษา การเรียนการสอน ฉะนั้น ถ้าเราไม่รู้กฎหมายทางการศึกษาจะทำให้เกิดผลกระทบหลายด้านไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ การจัดการศึกษาอย่างไรที่จะต้องเป็นไป  เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข  และจะต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษานั้นต้องทำอย่างไร  สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่คนเป็นครูจะต้องทราบเพื่อจะได้ส่งเสริมกระบวนการจัดการศึกษาให้ผู้เรียน ได้พัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษาก็จะทำให้เราไม่รู้ว่ากฎหมายต่างๆมีอะไรบ้าง  

อนุทินที่ 1


 ประวัติส่วนตัว 


ชื่อ-สกุล :  นางสาวกรกนก ภูมิชาติ

ชื่อเล่น :  เพลง

วัน/เดือน/ปีเกิด : 19 มิถุนายน 2538  อายุ 23 ปี

เชื้อชาติ ไทย สัญชาติ ไทย ศาสนา พุทธ

สัดส่วน : น้ำหนัก 75 กิโลกรัม สูง 163 เซนติเมตร

ที่อยู่ : 79 ม.5 ต.กำแพงเซา อ.เมือง จ .นครศรีธรรมราช 80280

งานอดิเรก : ทำอาหาร ฟังเพลง ปลูกดอกไม้

อุดมการณ์ความเป็นครู : จะอบรมสั่งสอนศิษย์ให้เป็นคนดี และดำเนินชีวิตในสังคมโลกได้

เป้าหมาย : มุ่งสอนลูกศิษย์ให้เป็นคนโดยสมบูรณ์ สอนวิชาการควบคู่กับสอนวิชาชีวิต ♥






อนุทินที่ 3

แบบฝึกหัดทบทวนบทที่ 2  กฎหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของชาติ 1. ใครเป็นผู้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรก และมีเหตุผลอย่างไร...